ผัว เมีย ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แบ่งทรัพย์สินกันอย่างไร

เมื่อความรัก ที่เคยหวานฉ่ำ เปลี่ยนแปลงไปเป็นความข่มขืน หลายๆ คู่ก็ต้องแยกทาง กันไป แต่ในเรื่องทรัพย์สินนี่สิ หลายคู่ มีปัญหาตกลงกันไม่ได้ ถ้าตกลงกันได้ ก็จบ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้า คุยกันไม่รู้เรื่อง
ตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องพึ่งบทบัญญัติ ของกฎหมาย เข้ามาช่วย ในการแก้ปัญหาเรื่องของทรัพย์สินดังกล่าว
ตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องพึ่งบทบัญญัติ ของกฎหมาย เข้ามาช่วย ในการแก้ปัญหาเรื่องของทรัพย์สินดังกล่าว
ถ้าผัว เมีย จดทะเบียนสมรส คงไม่ค่อยมีปัญหามาก เพราะมีกฎหมายบัญญัติวางหลัก เรื่องดังกล่าว ไว้ค่อนข้างชัดเจน มีสินสมรส ที่สามารถ แบ่งกันได้
แต่ถ้าเป็น ผัว เมีย ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ในเรื่องทรัพย์สินของ คู่ผัว เมียเช่นนี้ กฎหมายไม่ได้วางหลักเรื่องดังกล่าวไว้แต่อย่างใด สินสมรส ก็ไม่มี ตอนแบ่งทรัพย์สิน หากตกลงกันไม่ได้ ก็ไม่รู้จะใช้บทญัติ ของกฎหมายใด มาใช้บังคับ
แต่ทางออกมันก็มีครับ แม้ในทางกฎหมายนั้น จะไม่ได้วางหลักเรื่องทรัพย์สินของ คู่ผัว เมีย ดังกล่าว ไว้ก็ตาม แต่ในประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ นั้น เราสามารถใช้เรื่อง "เจ้าของรวม" มาใช้แบ่งทรัพย์สิน ของ ผัว เมีย ที่ไม่จดทะเบียนสมรส กันได้ครับ ซึ่งในเรื่องนี้ เราสามารถนำไปใช้ ในกรณี พวกรักร่วมเพศ ซึ่งในกฎหมายบ้านเรานั้น ยังไม่อนุญาต ให้พวกรักร่วมเพศ จดทะเบียนสมรสกันได้น่ะครับ
แต่ ก็คงจะไปเทียบ กับ ผัวเมีย ที่จดทะเบียนสมรสไม่ได้น่ะครับ เพราะมีสินสมรส ที่เขาสามารถแบ่งกันได้ แต่คู่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ใช้หลัก "เจ้าของรวม" ซึ่งก็มีรายละเอียดแตกต่างกับ สินสมรส มากพอสมควร ครับ
ต่อไปนี้ คือหลักของ "เจ้าของรวม" ตามประมวลกฎหมายแพ่งครับ
1.เจ้าของรวมเกิดขึ้นเพราะ นิติกรรม ไม่ได้เกิดขึ้น จากระบบของกฎหมาย
คืออธิบายอย่างนี้ครับ ถ้าเป็นผัวเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้ว สินสมรส ก็จะเกิดขึ้นทันทีครับ ไม่ว่าฝ่าย ผัว หรือ เมีย จะหาทรัพย์สินมาได้แต่เพียงฝ่ายเดียว ก็ตาม และจะจดทะเบียน เป็นชื่อของผัว หรือเมียฝ่ายเดียว ก็เป็นสินสมรส ทั้งนั้นครับ หากทรัพย์นั้น ได้มาระหว่างสมรส จะเป็นชื่อ ผัว หรือ เมีย ก็ตาม มันก็เป็นสินสมรส ทั้งสิ้นครับ เวลาแบ่งก็ต้องแบ่งเท่าๆ กันคนละครึ่งครับ
แต่เรื่องของ เจ้าของรวม นี่สิ มันไม่ได้มีระบบ เหมือนอย่างสินสมรส คนที่จะกล่าว อ้างว่า ตัวเอง เป็นเจ้าของรวม ในทรัพย์สินใด ต้องพิสูจน์ครับ คือคุณต้องบอกได้ว่า การที่ได้ทรัพย์สินนั้นมา คุณก็ได้ใช้ แรงงาน ใช้เงิน ใช้ทรัพย์กรหรือมีส่วนร่วม ทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้ได้ทรัพย์สิน นั้นมาครับ แล้วเวลาแบ่งนั้นจะได้ส่วนเท่าใด ตามไปดูข้อ 2 ครับ

2.กฎหมาย สันนิษฐานไว้ว่า เจ้าของรวม ทุกคน มีส่วนเท่ากัน
อันนี้ คือ ข้อสันนิษฐาน น่ะครับ ในกรณีที่สงสัย หรือในกรณีไม่มีเจ้าของรวมคนใด พิสูจน์ได้ว่าตนมีส่วนในทรัพย์สินรวมนั้นเท่าใด กฎหมายเขาก็สันนิษฐานว่าทุกคนที่เป็นเจ้าของรวม มีส่วนเท่ากันครับ แต่ถ้าหากคุณพิสูจน์ได้ว่า คุณมีส่วน ในทรัพย์สิน รวมนั้นมากกว่าเจ้าของรวมคนอื่นๆ คุณก็ได้ส่วนแบ่ง มากกว่าเจ้าของรวมคนอื่น ในเวลาที่ต้องแบ่งทรัพย์สินครับ
3.เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้
คืออธิบายอย่างนี้ครับ ถ้าเป็นผัวเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้ว สินสมรส ก็จะเกิดขึ้นทันทีครับ ไม่ว่าฝ่าย ผัว หรือ เมีย จะหาทรัพย์สินมาได้แต่เพียงฝ่ายเดียว ก็ตาม และจะจดทะเบียน เป็นชื่อของผัว หรือเมียฝ่ายเดียว ก็เป็นสินสมรส ทั้งนั้นครับ หากทรัพย์นั้น ได้มาระหว่างสมรส จะเป็นชื่อ ผัว หรือ เมีย ก็ตาม มันก็เป็นสินสมรส ทั้งสิ้นครับ เวลาแบ่งก็ต้องแบ่งเท่าๆ กันคนละครึ่งครับ
แต่เรื่องของ เจ้าของรวม นี่สิ มันไม่ได้มีระบบ เหมือนอย่างสินสมรส คนที่จะกล่าว อ้างว่า ตัวเอง เป็นเจ้าของรวม ในทรัพย์สินใด ต้องพิสูจน์ครับ คือคุณต้องบอกได้ว่า การที่ได้ทรัพย์สินนั้นมา คุณก็ได้ใช้ แรงงาน ใช้เงิน ใช้ทรัพย์กรหรือมีส่วนร่วม ทางใดทางหนึ่ง เพื่อให้ได้ทรัพย์สิน นั้นมาครับ แล้วเวลาแบ่งนั้นจะได้ส่วนเท่าใด ตามไปดูข้อ 2 ครับ

2.กฎหมาย สันนิษฐานไว้ว่า เจ้าของรวม ทุกคน มีส่วนเท่ากัน
อันนี้ คือ ข้อสันนิษฐาน น่ะครับ ในกรณีที่สงสัย หรือในกรณีไม่มีเจ้าของรวมคนใด พิสูจน์ได้ว่าตนมีส่วนในทรัพย์สินรวมนั้นเท่าใด กฎหมายเขาก็สันนิษฐานว่าทุกคนที่เป็นเจ้าของรวม มีส่วนเท่ากันครับ แต่ถ้าหากคุณพิสูจน์ได้ว่า คุณมีส่วน ในทรัพย์สิน รวมนั้นมากกว่าเจ้าของรวมคนอื่นๆ คุณก็ได้ส่วนแบ่ง มากกว่าเจ้าของรวมคนอื่น ในเวลาที่ต้องแบ่งทรัพย์สินครับ
3.เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้
เมื่อคุณเป็นเจ้าของรวม คุณก็มีสิทธิขอ เรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ครับ เว้นแต่ จะมีนิติกรรม ระหว่างคุณกับคู่ของคุณที่ตกลงกันไว้ว่าห้ามแบ่ง หรือวัตถุประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมนั้น มีลักษณะเป็นการถาวร แบบนี้ก็เรียกให้แบ่งไม่ได้ครับ แต่ทั้งนี้ ไม่ได้ความว่า เราไม่ใช่เจ้าของรวมน่ะครับ เพียงแต่มันแบ่งไม่ได้ครับ เพราะมันมีนิติกรรม หรือวัตถุประสงค์การเป็นเจ้าของรวม มันไม่อาจเเบ่งได้ครับ
เพราะฉะนั้น โดยทั่วไป มันเรียกให้แบ่งได้ครับ และแม้ว่าจะแบ่งไม่ได้เราก็มีส่วนในทรัพย์สินนั้น ในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งครับ
นิติกรรม ที่ตกลงกัน ห้ามแบ่งทรัพย์สินรวมนี้ ให้ใช้ได้สูงสุดแค่คราวละ 10 ปีน่ะครับ
4.ในการแบ่ง ก็ให้แบ่งกันเองระหว่างเจ้าของรวม หรือขายเป็นเงิน แล้วนำเงินมาแบ่งกันครับ
อันนี้เป็นทางเลือกครับ ทรัพย์สินบางอย่าง มันแบ่งกันทางกายภาพไม่ได้อยู่แล้ว ทางเดียวที่จะแบ่งได้คือ ต้องขายแล้วนำเงินมาแบ่งกันครับ เช่น พัดลม ทีวี ตู้เย็น แบบนี้เป็นต้นครับ แต่ทรัพย์สินที่สามารถแบ่งกันทางกายภาพได้เช่น ที่ดิน ข้าวสารหรือข้าวเปลือกที่อยู่ในเล้าหรือยุ้งฉาง เป็นต้น เช่นนี้กฎหมายก็ให้ทางเลือกว่า จะแบ่งกันโดยแบ่งกันคนละครึ่ง หรือขายแล้วนำเงินมาแบ่งกันคันละครึ่ง ก็ได้ครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ พอเห็นทางออกกันบ้างหรือยัง สำหรับคนที่ต้องแยกทางกัน โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทางที่ดีอย่าได้ทะเลาะกันเลยน่ะครับ อะไรที่ยอมๆ กันได้ก็ยอมๆ กันไป ก่อนที่จะเริ่มทะเลาะกัน ลองถามตังเองดูน่ะครับ ว่า มันจำเป็นแค่ไหน ที่ต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องแบบนี้ หากไม่จำเป็น คุณก็ไม่ควรที่จะต้องทะเลาะ แม้คุณจะเถียงด้วยเหตุด้วยผล สักเพียงใด จนคุณเป็นฝ่ายชนะ แต่ที่ต้องเสียไปแน่ๆ คือความสัมพันธ์ของคุณและเขาจะแย่ลงครับ
บทความหน้า ผมจะมาเขียนเรื่องอะไรนั้น ลองติดตามกันดูน่ะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น